641 จำนวนผู้เข้าชม |
วันนี้ ทำไมเด็กไทย อ่านหนังสือกันน้อย? เป็นคำถามที่เป็นปัญหาต่อสังคมไทยอยู่ในทุกวันนี้ในยุคปัจจุบัน เพราะเหตุใดเด็กไทยจึงไม่มีหนังสืออ่านในโรงเรียนหมู่บ้านเด็กที่อยู่ห่างไกลในชนบท เหตุใด หนังสือจึงเป็นเรื่องที่เข้าถึงเด็กไทยได้ยาก
เพราะ “เสรีภาพในการเรียนรู้ จำเป็นต้องเติมเต็มด้วย เสรีภาพการอ่าน การเรียนรู้... เพื่อเปิดโลกกว้างไปยังโลกอีกใบหนึ่ง”
ย้อนกลับไปสมัยที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเป็นอาสาสมัครในโครงการตู้หนังสือในบ้านเด็ก เพื่อทำกิจกรรมให้กับเด็กรักการอ่านหนังสือ
จากประสบการณ์การทำงานอาสาสมัครโครงการตู้หนังสือในบ้านเด็กของข้าพเจ้าเมื่อ ๒ ปีก่อน กับโครงการค่ายรักการอ่าน เพื่อเด็ก และตู้หนังสือให้กับเด็ก รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองที่ได้ทำ เด็กๆ ที่มาร่วมค่ายต่างก็มีใจรักการอ่านหนังสือกัน การลงพื้นที่ไปเจอเด็กๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ชุมชนที่ค่อนข้างยากจน แต่เด็กกลุ่มนี้กลับเคยไม่ยากจนความคิดที่จะเรียนรู้
นี่ก็เป็นอีกค่ายหนึ่งที่ให้ประสบการณ์และความประทับใจจนถึงทุกวันนี้ ทุกๆ ครั้งที่ทีมงานได้ลงพื้นที่ เราก็มักจะเห็นเด็กๆ เหล่านี้มีความกระตือรือร้นกับกิจกรรมที่เราได้มอบให้อยู่เสมอ ทำให้เราประทับใจและซาบซึ้งใจทุกครั้งเมื่องานค่ายจบลง แต่ความทรงจำดีๆ นี้ไม่จบ เพราะเด็กๆ ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากกิจกรรมค่ายนี้ และนำความรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวันอันมีคุณค่าในชีวิตของเด็ก เด็กๆ มักจะเขียนจดหมายมาเล่าให้พี่ๆ ทีมงานตู้หนังสือฟังอยู่เสมอ หลังจากเสร็จงานค่าย ทำให้เรารู้ว่าเด็กๆ ไม่เคยทอดทิ้งการเรียนรู้จากพี่ๆ เลยจริงๆ
นี่ก็เป็นอีกค่ายหนึ่งที่ให้ประสบการณ์และความประทับใจจนถึงทุกวันนี้ ทุกๆ ครั้งที่ทีมงานได้ลงพื้นที่ เราก็มักจะเห็นเด็กๆ เหล่านี้มีความกระตือรือร้นกับกิจกรรมที่เราได้มอบให้อยู่เสมอ ทำให้เราประทับใจและซาบซึ้งใจทุกครั้งเมื่องานค่ายจบลง แต่ความทรงจำดีๆ นี้ไม่จบ เพราะเด็กๆ ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากกิจกรรมค่ายนี้ และนำความรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวันอันมีคุณค่าในชีวิตของเด็ก เด็กๆ มักจะเขียนจดหมายมาเล่าให้พี่ๆ ทีมงานตู้หนังสือฟังอยู่เสมอ หลังจากเสร็จงานค่าย ทำให้เรารู้ว่าเด็กๆ ไม่เคยทอดทิ้งการเรียนรู้จากพี่ๆ เลยจริงๆ
ค่ายที่เราไปคือ จ.อ่างทอง ซึ่งอยู่ในโรงเรียนที่แม้จะค่อนข้างขาดแคลนด้านอุปโภค ตัวอาคารทรุดโทรม แต่ที่นี่ก็มีเด็กมาเรียนกันเยอะ ส่วนใหญ่เด็กที่มาเรียนจะเป็นเด็กแถวหมู่บ้านระแวกนั้น เด็กที่มาร่วมค่ายกับเรากว่า ๑๐๐ คน โดยมีกิจกรรมค่ายตลอด ๓ วัน จำได้วันแรกที่ไปเจอเด็กๆ ต่างก็มีหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และกล่าวคำทักทายสวัสดีพี่ๆ ทุกคน ผู้ปกครองพาเด็กๆ มาลงทะเบียนกันครบ เด็กบางคนตัวเล็กมากๆ บอกกับเราว่า “หนูชอบอ่านหนังสือของพี่ๆ ที่ส่งมามากค่ะ” เราฟังแล้วรู้สึกชื่นอกชื่นใจ และหายเหนื่อยทันที ที่เด็กๆ ได้เห็นคุณค่าที่ผู้ใหญ่ใจดีได้หยิบยื่นหนังสือดีๆ มาให้
กิจกรรมค่ายที่นี่เราจัด ๓ วัน เราเริ่มวันแรกคือกิจกรรมทำความรู้จักกัน จากนั้นก็จะแบ่งเป็นกลุ่มๆ ตั้งชื่อกลุ่มตามชื่อหนังสือที่เราอ่านและประทับใจ และกิจกรรมวันสุดท้ายคือกิจกรรมฐานความรู้ต่างๆ ที่ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จากฐานนั้นๆ โดยพี่ๆ ทีมงานได้เตรียมไว้ให้ รวมถึงกิจกรรมร้องเพลงเต้นรำเพื่อให้บรรยากาศให้เด็กไม่เคร่งเครียดเกินไป
กิจกรรมที่เราจัดคือการเสริมสร้างความรู้และพัฒนาปลูกฝังการอ่านหนังสือให้เด็ก และให้ความสนุกมากมายแก่เด็ก และครั้งนั้นมีกิจกรรมพิเศษด้วย นั่นคือ เรามีพี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง มาร้องเพลง เล่านิทานเล่นคำสำนวนไทย และเล่นเกมกับเด็กๆ ตั้งคำถามฝึกให้เด็กได้คิดและตอบคำถามกัน ซึ่งบรรยากาศวันนั้นเต็มไปด้วยความสนุก ความรู้ และเสียงหัวเราะของเด็กๆ และตกกลางคืนก็มีกิจกรรมพิเศษจาก ยายแอ๊ว คุณยายที่น่ารักของเด็กๆ ในค่ายโครงการตู้หนังสือฯ มาเล่านิทานให้เด็กฟังก่อนนอน นิทานที่ประทับใจของตัวเองในวัยเด็กให้เด็กๆ ได้ฟัง และได้ข้อคิดมากมายจากนิทานเรื่องนี้
แล้วคืนแรกของวันนั้นเราก็เจอเหตุการณ์วิกฤตเล็กน้อยจากค่ายครั้งนี้ คือห้องนอนเด็กผู้หญิงที่พี่ๆ ทีมงานเตรียมไว้ให้อยู่ห้องหนึ่ง อยู่ๆ พัดลมดันเสีย เราจึงต้องรีบย้ายห้องให้เด็กไปห้องนอนอื่น และช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าร้อน ประกอบกับตอนนั้นดึกมากแล้วประมาณ ๓ ทุ่มกว่าได้ เราต้องรีบย้ายห้องนอนให้เด็กกว่า ๒๐ คน เพื่อให้เด็กได้นอนกันเร็วๆ โดยก่อนหน้านี้ทีมงานได้แยกห้องเด็กผู้หญิงไว้ ๓ ห้อง เหลือแค่ ๒ ห้อง ให้เด็กๆ ย้ายมานอนเบียดๆ กัน ซึ่งทำให้เด็กๆ ไม่ค่อยสะดวกในเรื่องของการนอนมากนักเนื่องจากเราได้แบ่งห้องไว้ให้พอดีกับจำนวนคนแล้ว แต่ดันเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เด็กๆ ต้องมานอนเบียดกันแบบนี้ไปอีก ๒ คืนจนกว่าจะจบค่าย ตอนนั้นก็เป็นเวลาที่ดึกมากแล้วกว่าจะย้ายเด็กกันเสร็จ และจัดที่นอนเด็กใหม่ให้ได้นอนกัน กว่าเด็กและพี่ๆ จะได้นอนปาเข้าไปเสร็จประมาณ ๔ ทุ่มกว่าได้ ประกอบกับเด็กๆ และพี่ๆ ทีมงานต่างทำจกรรมกันมาเกือบทั้งวันทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าและง่วงกันแล้ว และแม้จะง่วง แต่ก็ต้องอดทนกันเพื่อให้เด็กๆ ได้นอนหลับสบาย หลังจากเหตุการณ์นี้สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้เห็นก็คือ เด็กผู้หญิง มีความอดทนกันมาก ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครงอแงกันเลยซักคน ทำให้เรารู้สึกว่าเด็กที่นี่น่ารักกันมาก มีความอดทนสูง รู้สึกว่าเด็กๆ ที่มาร่วมค่ายกับเราสามารถทนกับความยากลำบากได้ ทำให้เราไม่รู้สึกเหนื่อยเลยจริงๆ และคืนนั้นก็ผ่านพ้นไปด้วยดี
แล้วคืนแรกของวันนั้นเราก็เจอเหตุการณ์วิกฤตเล็กน้อยจากค่ายครั้งนี้ คือห้องนอนเด็กผู้หญิงที่พี่ๆ ทีมงานเตรียมไว้ให้อยู่ห้องหนึ่ง อยู่ๆ พัดลมดันเสีย เราจึงต้องรีบย้ายห้องให้เด็กไปห้องนอนอื่น และช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าร้อน ประกอบกับตอนนั้นดึกมากแล้วประมาณ ๓ ทุ่มกว่าได้ เราต้องรีบย้ายห้องนอนให้เด็กกว่า ๒๐ คน เพื่อให้เด็กได้นอนกันเร็วๆ โดยก่อนหน้านี้ทีมงานได้แยกห้องเด็กผู้หญิงไว้ ๓ ห้อง เหลือแค่ ๒ ห้อง ให้เด็กๆ ย้ายมานอนเบียดๆ กัน ซึ่งทำให้เด็กๆ ไม่ค่อยสะดวกในเรื่องของการนอนมากนักเนื่องจากเราได้แบ่งห้องไว้ให้พอดีกับจำนวนคนแล้ว แต่ดันเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เด็กๆ ต้องมานอนเบียดกันแบบนี้ไปอีก ๒ คืนจนกว่าจะจบค่าย ตอนนั้นก็เป็นเวลาที่ดึกมากแล้วกว่าจะย้ายเด็กกันเสร็จ และจัดที่นอนเด็กใหม่ให้ได้นอนกัน กว่าเด็กและพี่ๆ จะได้นอนปาเข้าไปเสร็จประมาณ ๔ ทุ่มกว่าได้ ประกอบกับเด็กๆ และพี่ๆ ทีมงานต่างทำจกรรมกันมาเกือบทั้งวันทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าและง่วงกันแล้ว และแม้จะง่วง แต่ก็ต้องอดทนกันเพื่อให้เด็กๆ ได้นอนหลับสบาย หลังจากเหตุการณ์นี้สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้เห็นก็คือ เด็กผู้หญิง มีความอดทนกันมาก ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครงอแงกันเลยซักคน ทำให้เรารู้สึกว่าเด็กที่นี่น่ารักกันมาก มีความอดทนสูง รู้สึกว่าเด็กๆ ที่มาร่วมค่ายกับเราสามารถทนกับความยากลำบากได้ ทำให้เราไม่รู้สึกเหนื่อยเลยจริงๆ และคืนนั้นก็ผ่านพ้นไปด้วยดี
วันรุ่งขึ้นกิจกรรมค่ายดำเนินไปได้ด้วยดีจนจบงานค่าย ตลอดระยะเวลา ๓ วัน ที่ได้ทำกิจกรรมกับเด็ก เราได้ประทับใจตั้งแต่วันแรกที่ไปจนถึงวันสุดท้าย เป็นอะไรที่มีทั้งความสุข สนุก และเสียงหัวเราะของเด็กๆ ได้เห็นความอดทนความมีวินัยในตัวเด็ก และได้เรียนรู้วิถีชุมชนชีวิตเด็กในโรงเรียนที่ค่อนข้างขาดแคลน ห่างไกลในเมือง เหมือนกับว่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในโรงเรียนไม่ค่อยมีมากนัก แต่เด็กๆ มีความกระตือรือร้นที่จะใส่ใจใฝ่รู้และรักการอ่านหนังสืออยู่เสมอ ทำให้เรารู้ว่าเด็กๆ เหล่านี้ ได้ถูกปลูกฝังให้มีความมานะ ความอดทน และมีวินัย กันอย่างมากเพียงใด
และนี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีในครั้งหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำกับค่ายกิจกรรม โครงการตู้หนังสือในบ้านเด็ก แห่งนี้เพราะเรามีทั้งความสุข สนุก และความดราม่าเล็กน้อยกับสิ่งที่เจอ จึงเป็นประสบการณ์ที่ดีและภูมิใจในคุณค่าทางจิตใจมากมายกับโครงการดีๆ โครงการที่ทำเพื่อเด็กที่ขาดแคลนขุนทรัพย์ความรู้ทางการศึกษา โครงการนี้ได้เล็งเห็นและได้สร้างคุณค่าแก่เด็กและมอบหนังสือดีๆ กับกิจกรรมดีๆ เพื่อปลูกฝังสร้างจิตสำนึกให้เด็กรักการอ่านหนังสือ สร้างเด็กให้มีอนาคตที่ดีเป็นคนดีและฉลาดสร้างสรรค์ให้โลกใบนี้ อีกทั้งโครงการนี้ก็ยังคงดำเนินเพื่อสร้างสรรค์ให้เด็กได้มีหนังสือดีๆ อ่าน รักการอ่านหนังสือต่อไป.... ส่วนข้าพเจ้าเองก็รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งกับโครงการนี้เช่นกัน...
รมณ ดุริยะลักษณ์ (โอ๋)
สื่อประชาสัมพันธ์ มูลนิธิเด็ก
๒๕ มีนาคม ๒๕๖๖
ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง เพื่อสนับสนุนการอ่านหนังสือให้กับเด็กยากจนในชนบทที่ขาดแคลนหนังสือ
ได้ที่ : โครงการตู้หนังสือในบ้านเด็ก มูลนิธิเด็ก โทร. 02-814-1481-7 Homepage : www.ffc.or.th