1155 จำนวนผู้เข้าชม |
“อนุบาลสานรัก” เป็นบ้านหลังที่สามของเด็กกำพร้าถูกทอดทิ้ง ไร้คนเหลียวแล เด็กที่มีความต้องการพิเศษหลากหลายประเภทอยู่ร่วมกัน 60 คน ซึ่งเด็กหลายคนมาจากบ้านหลังที่สอง คือ “บ้านทานตะวัน” เด็กเล็ก ภายใต้มูลนิธิเด็ก
ในวัยแรกเริ่มของชีวิต ลูกชนชั้นกลางและคนรวย จะได้ครบทั้งความรัก ได้ตามความต้องการ ได้ความภูมิใจและความเป็นเลิศ ได้ปัจจัย 4 ที่สมบูรณ์
แต่เด็กกำพร้า และเด็กถูกทอดทิ้ง ครอบครัวยากจนจะบกพร่องทุกเรื่องทั้งปัจจัย 4 ทั้งอ้อมกอด มีแต่ปมด้อยที่ได้รับ อนิจจาความเท่าเทียมของความเป็นมนุษย์ไม่มี ยิ่งถ้าเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เช่น
ออทิสติก สมาธิสั้น (Hyperactivity) IQ ต่ำ รวมถึงเด็กไม่มีบัตรเลข 13 หลัก ยิ่งซ้ำร้ายการศึกษาในระบบกระแสหลักไม่หมายปองเพราะรัฐไม่มีงบประมาณไปช่วยเหลือโรงเรียนเด็กกลุ่มนี้ จึงใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบากจึงเป็นเหตุให้มีปมเกลียดชีวิต
ถ้าเด็กมีพ่อแม่อาศัยในเมืองหรือมีพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวความยากจน และปัญหาชีวิตไม่มีทางออกหันไปพึ่งสุรายาเสพติดการพนัน ปมเกลียดชีวิตของพ่อและแม่จะยิ่งรุนแรง จะไปแสดงออกที่ลูก เด็กจึงมีปัญหาหนัก ถ้าปมเกลียดชีวิตจะถ่ายทอดให้เด็กอย่างฝังลึก เกิดจากการใช้อำนาจของผู้ใหญ่ติดต่อกันเป็นเวลานาน เด็กจะส่งต่อปัญหาจากรุ่นสู่รุ่น และจะหันมาทำร้ายสังคมด้วย
“อนุบาลสานรัก” จึงเป็นยิ่งกว่าบ้านและโรงเรียนในทัศนะทั่วไป เราตระหนักในปมปัญหาทางจิตใจของเด็กเพราะเราเชื่อว่าเด็กคือเด็กปกติตั้งแต่แรกเกิดแต่พ่อและแม่ถ่ายทอดปมมาที่ลูก เด็กจึงมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน เช่น ก้าวร้าว ลักขโมย โกหก และพฤติกรรมทางเพศผิดปกติ เราจึงต้องลดปัญหานี้ก่อน โดยจัดสิ่งแวดล้อม หรือปรโตโฆษะ ที่เป็นกัลยาณมิตร เช่น เลือกครูที่เป็นปิยมิตร อาคารเรียนไม่มีสัญลักษณ์ทางอำนาจ สื่อการเรียนรู้ง่ายและสนุกพร้อมกับพัฒนาทุกส่วน กิจกรรมร่วมทำระหว่างครูและเด็ก ในขณะเดียวกันก็ให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสันติ จะช่วยลดปัญหาการเกลียดชีวิตของเด็กสมกับคำว่า “สานรัก”
โรงเรียน คือ สถานที่แห่งการเรียนรู้
ระบบการศึกษาที่เป็นโรงเรียนอนุบาลหมู่บ้านเด็ก สานรัก
1. ผู้บริหาร ผู้เป็นดั่งกัลยาณมิตรต่อเด็กและครู
2. ครูเป็นบุคลากรที่ส่งเสริมประชาธิปไตย
3. อาคารสถานที่ ให้ความรู้สึกเป็นดั่งบ้าน มีความอบอุ่น
4. หลักสูตรแบบเปิดคือให้ครูและเด็กคิดกิจกรรมเองได้โดยครูให้ความสนับสนุนและช่วยเหลือให้คำแนะนำ และเป็นไปตามจินตนาการของเด็ก
5. ห้องเรียนต้องจัดให้สะอาด บรรยากาศครึกครื้น สว่าง มีสื่อให้เด็กค้นคว้าตามที่อยากรู้ ถ้าเด็กไม่ถาม ครูจะถามเด็กด้วยคำถามปลายเปิดกระตุ้นให้เด็กอยากรู้และค้นหาคำตอบและนำไปสู่การปฏิบัติ
6. มีกิจกรรมเสริมให้เกิดคุณภาพเช่น รักการอ่าน ดูหนังสร้างจินตนาการ ตระหนักรู้ในสารพิษ ลดโลภ ลดโทสะ และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ฟังเพลงให้เกิดการผสานของสายใยประสาท ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายทุกส่วนแข็งแรง รู้จักระบบนิเวศน์โดยการทำเกษตร
ดังตัวอย่างเช่นเรื่องราวของน้องหงส์หยก หงส์หยกชอบมาเรียนฝึกอาชีพที่ห้องเย็บผ้าของคุณครูป๊อย เป็นอย่างมาก ปัจจุบันหงส์หยกอายุได้ 4 ขวบแล้ว หงส์หยกชอบทำกิจกรรมที่ห้องเรียน เริ่มแรกเมื่อตอนเข้ามาอยู่ใหม่ๆ หงส์หยกมีความกลัว และร้องไห้ แต่พอเริ่มปรับตัวได้ โดยมีคุณครูและพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือดูแลและมอบความรักให้ หงส์หยกจึงร่าเริงมากขึ้น เล่นกับเพื่อนๆ เป็นเด็กที่ช่างพูด พูดจาไพเราะว่านอนสอนง่าย หงส์หยกชอบเต้น เต้นท่าดุ๊กดิ๊ก เวลาที่คุณครูบอกหงส์หยกเต้นให้พี่ๆ ดูสิคะ หงส์หยกไม่รีรอที่จะเต้น ลุกขึ้นมาเต้นท่า “โจ๊ะ พึม พึม” ส่ายเอว จนพี่ๆ ยิ้มกันไม่หุบปากในความน่ารักของหงส์หยก ยามว่างหงส์หยกก็ชอบอ่านหนังสือภาพที่มีรูปรถไฟ จะเปิดภาพดูและสามารถเล่าเรื่องจากภาพได้อย่างสนุกสนาน แต่หากมีเรื่องที่เศร้าใจก็จะร้องไห้ ปัจจุบันหงส์หยกสามารถดูแลตัวเองได้ดีขึ้น เช่น การเข้าห้องน้ำเองโดยไม่กลัว ไม่ร้องไห้ และชอบทำกิจกรรมต่างๆ
สำหรับโรงเรียนแห่งนี้ที่เปรียบเสมือนบ้านของเด็ก เมื่อเด็กๆ ได้รับโอกาสดีๆ และความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ใจดีของสังคม เชื่อว่า เราสามารถสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเด็กไม่มากก็น้อย เพื่อให้พวกเขาได้เติบโตมาอย่างสมบูรณ์ “หากเปรียบเด็กเสมือนดั่งของขวัญจากพระเจ้า พระเจ้าคงอยากเห็นเด็กมีความสุขเพื่อมอบสิ่งที่ดีงามให้กับโลกใบนี้ต่อไป...”
เขียนโดย : Ramon (สื่อสังคม)
นางรัชนี ธงไชย ที่ปรึกษาโครงการ ฯลฯ
ร่วมสนับสนุนการศึกษาของเด็กเพื่อชีวิตใหม่ได้ที่
“โรงเรียนอนุบาลสานรัก มูลนิธิเด็ก”
โทร. 02- 814-1481, พี่วัน 094-975-4796 , LINE ID: mbds.ffc