แนะนำหนังสือดีน่าอ่าน : สอนเด็กให้เก่งแบบอเมริกัน

678 จำนวนผู้เข้าชม  | 

แนะนำหนังสือดีน่าอ่าน : สอนเด็กให้เก่งแบบอเมริกัน

เล่าเรื่อง :  กมล กมลตระกูล
     
สำนักพิมพ์ :  สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก
 
ราคาเล่มละ ๑๐๕ บาท (จากราคา ๑๗๕ บาท)

 
สั่งซื้อ

 

 

"หนังสือดีมีคุณภาพ ที่เด็กควรทราบ ผู้ใหญ่ควรอ่าน รัฐบาลควรทำ"

 

        สอนเด็กให้เก่งแบบอเมริกัน เป็นหนังสือเล่มบางที่ใช้เวลาอ่านเพียง ๒ ชั่วโมงก็สามารถมองเห็นภาพอนาคตของชาติ สังคม ประเทศได้อย่างมุมกว้างไกลมากยิ่งขึ้น สอนให้เด็กเก่งแบบอเมริกัน มีลักษณะทางวางแผนในยุทธศาสตร์ที่ทำได้จริงคือ

๑.     การเน้นการเคารพสิทธิของผู้อื่น
๒.     การทำความดีแบบไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น
๓.     การลงมือทำจริงเพื่อรู้จักการใช้ไหวพริบการแก้ปัญหาแบบเกิดขึ้นจริงในชีวิต
๔.     การเห็นความสำคัญของศาสนาว่ามีอยู่แต่ไม่ใช่เอามาวัดคุณค่าของความดีงามทั้งหมด
๕.     การคิดสร้างสรรค์

 

     คุณสมบัติทั้ง ๕ ข้อนั้นเป็นการสรุปมาจากวิธีแยกย่อยของการเรียนรู้แบบอเมริกันมากมายที่ทำให้เราได้เข้าใจว่า เหตุไฉนประเทศฝั่งตะวันตกถึงมีความคิดก้าวหน้า เป็นผู้นำทันโลก ทันสมัยและมีความเหลื่อมล้ำคนรวยคนจนที่น้อย นั่นเป็นเพราะเขามีการปลูกฝังบุคลากรทั้งแต่ระดับ “ราก” ซึ่งการปลูกฝังระดับบุคลากรตั้งแต่ “ราก” นั้นเป็นพื้นฐานของการเติบโตให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ใช้งานได้จริงและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างดีเยี่ยม ซึ่งนับว่าแตกต่างกับระบบการศึกษาของไทยที่ปลุกปั้นบุคลากรที่ทำให้ถูกตราหน้าว่าเป็นประเทศที่ล้าหลังและด้อยพัฒนาอยู่นั้น เป็นเพราะ

๑.    ถูกค่านิยมแบบโบราณ ในเรื่องของผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ เชื่อฟัง และปฏิบัติตาม จึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
๒.     การทำความดีส่วนใหญ่กว่า ๙๐% มุ่งเน้นไปทางศาสนาในเรื่องคุณธรรม ศีลธรรม
๓.     การประสบความสำเร็จมุ่งเน้นที่สถาบันที่มีชื่อเสียงและใบเกรดนิยม ใบประกาศในการรองรับความเป็นมืออาชีพ
๔.     หากมีความคิดที่ผิดแปลกจากจารีตเก่า เท่ากับเป็นคนบาปและคนเลว
๕.     ความคิดสร้างสรรค์ในความเป็นไปได้ ถูกคำต่อว่าเชิงตำหนิมากกว่าสนับสนุนที่ดีงาม



       จากวิถีการเติบโตและฝังรากแบบเอเชียนั้น ทำให้เป็นผลกระทบแบบเป็นลูกโซ่ เพราะเริ่มตั้งแต่ หากเด็กมีการถกความคิดกับผู้ใหญ่ในเชิงเห็นแตกต่างไปจากผู้ใหญ่นั้น ก็จะมีสุภาษิตโบราณ มีการเสียดสีในลักษณะของเชิงต่อว่า เช่น พูดจาสามหาว ถอนหงอกผู้ใหญ่ ม้าดีดกะโหลก หรือคำต่อว่าอื่นๆ ที่ฝังไปตั้งแต่รากโบราณของการศึกษาแบบไทย ซึ่งหากพิจารณาไปด้วยการเติบโตตามกระแสของโลกาภิวัตน์นั้นแล้ว โลกยังมีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ในความเป็นจริงก็ต้องก้าวให้ทันโลก ที่ไม่ใช่เพียงวิ่งตามแต่กระแสนิยม รับเอาในความทันสมัยแต่ก็ต้องก้าวให้ทันการเติบโตทางความคิดทางปัญญาให้เป็นสำคัญด้วย

       และเพราะค่านิยมที่ยังฝังในรากว่าเยาวชน คนรุ่นใหม่ที่เป็นเด็กนั้นควรจะเชื่อฟังผู้ใหญ่และพึงกระทำตาม เมื่อไม่กระทำแล้วนั้นเรื่องศาสนาก็นับว่าเป็นตัวยึดคุณสมบัติของ “คนดี” ซึ่งนับเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอันดับสองที่รองลงมาในการครอบงำจิตใจว่าทำแบบนี้บาปหรือไม่บาป เมื่อทำบาปขัดจากศาสนาจึงเท่ากับเลว

       การให้ค่าความนิยมแบบประสบความสำเร็จที่มุ่งเน้นใบเกรดนิยม สถาบันที่มีชื่อเสียง เพื่อรองรับความเป็นคุณภาพ เป็นกับดักลวงที่จะวัดความเป็นคนที่เติบโตมาเป็นคนที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง เพราะหากเทียบกับการสอนให้เด็กเก่งแบบอเมริกันแล้ว จะเป็นการเรียนเพื่อเล่น เรียนเพื่อเล่นนั้นจะช่วยทำให้เกิดทักษะ การใช้ความคิดวิเคราะห์ การลงมือจริง และการค้นหาความชื่นชอบในตนเอง ต่างกับบ้านเราที่เน้นการปฏิบัติแบบจารีตในขนบเก่า ที่คิดกันมาอย่างนั้น เชื่อกันมาแบบนั้น และปฏิบัติเรื่อยไปแบบนั้น พอมีคนเห็นต่างก็ถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลว

       และประการสุดท้าย ความคิดสร้างสรรค์ ต้องบอกว่าสำหรับการเรียนแบบอเมริกันนั้นมุ่งเน้นในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ในการเรียนรู้และเติบโตเป็นอย่างมาก เพราะการคิดสร้างสรรค์ทำให้เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ เมื่อเกิดสิ่งใหม่ก็จะเกิดความเชื่อใหม่และพัฒนาสิ่งใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็เป็นคุณสมบัติสำคัญทำให้ประเทศเกิดความก้าวหน้า เพราะคิดใหม่ทำใหม่ คิดก่อนได้ก่อน ดังนั้นพวกคำพูดที่เป็นกระแสทางลบ การถูกบลูลี่ มักจะไม่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนสำหรับการเรียนรู้แบบอเมริกัน ยิ่งไปกว่านั้นบ้านเมืองเขาค่อนข้างระวังที่จะมีครูที่ต้องรู้จิตวิทยาเด็กแต่ละช่วงวัย การเป็นลมใต้ปีกให้เด็กเห็นความสามารถของตนเอง รวมไปถึงผลักดันไปในทางที่อยากเป็นให้ออกมาดีงาม

"ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ทรงคุณค่า เพราะความแตกต่างของขนบแบบเก่าตามที่ยกตัวอย่างมา ถ้าคนเคยคิดและยังยึดการปฏิบัติแบบเดิมๆ ก็จะนำไปสู่ผลลัพธ์แบบเดิมๆ ไม่เกิดประโยชน์ต่อใครทั้งปวง ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เป็นตัวก่อเหตุ มะเร็งระดับชาติ หากไม่แก้ให้ทันอาจจะลุกลามจนยื้อไว้ไม่ทัน"

 

 

แนะนำโดย        

ณครัส ก้องสุธิตธารา
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก (สรรพสาส์น)
๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้