1102 จำนวนผู้เข้าชม |
เมื่อคืนก่อนฉันไปฟังดร. เทมเพิล แกรนดิน พูด ฉันรู้ว่ามันจะเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมที่จะได้ยินมุมมองของเธอเกี่ยวกับออทิสติก และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอพูดในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ฉันหวังว่าฉันจะได้จดบันทึกย่อลงในสมุดบันทึกขนาดเล็ก ปราศจากอุปกรณ์การเขียนใด ๆ ฉันแค่นั่งและหมกมุ่นกับการสะท้อนความคิดเพ้อฝันของเธอ และหัวเราะพร้อมกับฝูงชนเพื่ออารมณ์ขันที่น่าทึ่งของเธอ และฉันก็รู้สึกรำคาญใจกับหญิงสาวข้างๆฉันที่ส่งข้อความตลอดงานนำเสนอทั้งหมด หญิงสาวคนนั้นพลาดการนำเสนอที่ยอดเยี่ยมอย่างจริงจังโดยดร. แกรนดิน
อย่างไรก็ตามในฐานะที่เป็นแม่ของลูกออทิสติก ดร. แกรนดิน เป็นความสุขและเป็นแรงบันดาลใจในการฟัง ฉันพบว่าตัวเองพยักหน้ารับหลายสิ่งที่เธอพูด และฉันคิดว่าฉันจะแบ่งปันจุดที่เป็นแรงบันดาลใจบางอย่างจากการสนทนาของเธอ ฉันยังได้จัดทำแผ่นภาพสำหรับพิมพ์ฟรีไว้ด้วย ลิงค์สำหรับดาวน์โหลดภาพฟรีนี้อยู่ท้ายบทความ
5 สิ่งที่ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับเด็กออทิสติคกับ ดร. เทมเปิล แกรนดิน
1.สอนทักษะทางสังคมเช่นเดียวกับที่พวกเขาอาศัยอยู่ในต่างประเทศ
ทักษะทางสังคมเป็นสิ่งที่เด็ก ๆ ออทิสติคต้องต่อสู้กับมัน แน่นอนว่าลูกชายของฉันก็เจอแบบเดียวกัน
ดร. แกรนดิน ย้ำว่าเราต้องสอนทักษะทางสังคมของเด็ก ๆ ราวกับว่าพวกเขากำลังเรียนรู้กฎและบรรทัดฐานสำหรับต่างประเทศ เราต้องสอนทักษะทางสังคมเหล่านี้ให้กับพวกเขา
2. ผลักดันให้เรียนสิ่งใหม่!
เราไม่ได้พูดถึงคำว่า stretch (การให้ไปยืดกล้ามเนื้อออกกำลังกายเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น) แต่ดร. แกรนดิน ย้ำถึงความสำคัญของการให้เด็ก ๆ ออกไปทำสิ่งต่าง ๆ นอกเขตความสะดวกสบายของพวกเขา ผลักดันพวกเขาให้ลองสิ่งที่แตกต่าง ดร. แกรนดิน เล่าเรื่องที่แม่ของเธอจะพาเธอไปที่ไร่ของป้าของเธอ แต่ ดร. แกรนดิน ไม่อยากไป ดังนั้นแม่ของเธอจึงให้เธอเลือก: จะไปหนึ่งสัปดาห์หรือจะไปตลอดช่วงฤดูร้อน คำว่า “ไม่ไป” ไม่มีในตัวเลือก
แนวคิดของการให้ลูกเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นี้ เป็นสิ่งที่สามีของฉันและฉันคุยกันมาก เราชอบที่จะผลักดัน J เพื่อลองสิ่งใหม่ ๆ และผลักเขาออกไปนอกเขตความสะดวกสบายของเขาก่อนหน้านี้ ฉันต้องยอมรับว่าก่อนที่ J จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น * hyperlexia เราพยายามหาวิธีที่เหมาะสมในการให้เขาลองสิ่งใหม่ ตอนนี้ฉันเรียนรู้ที่จะใช้ hyperlexia ของเขาเพื่อประโยชน์ของเราและช่วยให้เราแนะนำให้เขาลองสิ่งใหม่ ๆ
หมายเหตุ *hyperlexia (โรคไฮเปอร์เล็กเซีย) =ความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านคำพูด
3.การสัมผัสคือการรับรู้
ดร. แกรนดิน ยังให้ความสำคัญกับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสสำหรับเด็ก ฉันรู้สึกถึงความหลงใหลในหัวข้อนี้เมื่อเธอพูดและเห็นได้ชัดว่าการเล่นกับประสาทสัมผัสเป็นสิ่งที่ฉันหลงใหลด้วย เด็กจำเป็นต้องสัมผัสความรู้สึกและสัมผัสกับวัตถุเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่พวกเขาเป็น
4. รอ! ให้โอกาสพวกเขาพูด
“รอ!” ดร. แกรนดินตะโกน เธอบอกว่าการรอคอยเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะพูด คุณต้องให้โอกาสเด็กแสดงความคิดเห็น
ฉันชอบคิดว่าฉันทำได้ดีในประเด็นนี้แล้ว ฉันให้โอกาส J ในการตอบคำถามเสมอ ฉันรอให้เขาพูดอะไรบางอย่างแม้ว่ามันจะไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสมเพราะมันทำให้เขามั่นใจว่าเขาต้องเรียนรู้วิธีการสนทนา และมันแสดงให้เห็นว่าฉันให้ความสำคัญกับข้อมูลที่เขาป้อน และมันแสดงให้เห็นว่าฉันจะรอให้เขาลองแสดงออกด้วยตัวเขาเอง
5. ใช้เรื่องเล่าสั้น ๆ เพื่อพัฒนาความเข้าใจในเด็กที่มีภาวะ hyperlexia
หลังจากการนำเสนอ ฉันมีโอกาสพบดร. แกรนดิน ฉันรออย่างใจจดใจจ่อที่จะซื้อหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งของเธอและฉันก็รออย่างอดทนอีกครั้งเพื่อให้ได้ลายเซ็นต์บนหนังสือ แต่สิ่งที่ฉันหวังไว้จริงๆคือโอกาสที่จะได้รับจากสมองของเธอ หลังจากที่เธอได้เสนอเรื่องภาวะ ** dyslexia ประมาณ 2-3 ครั้งการอ้างถึง dyslexia มักทำให้ฉันรู้สึกปั่นป่วน อาจเป็นเพราะในหัวของฉัน ฉันตะโกนว่า “แล้ว hyperlexia ล่ะ!” อย่างไรก็ตามฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเด็ก ๆ ที่มีภาวะนี้ได้บ้าง
ดังนั้นฉันจึงถามเธอว่า “คุณรู้อะไรเกี่ยวกับ * hyperlexia บ้าง?” Dr. Grandin พ่นคำนิยาม hyperlexia จากตำราเรียนที่แม่นยำและแม่นยำมากออกมา จากนั้นเธอก็อธิบายความสำคัญของเรื่องเล่าสั้น ๆ ที่เป็นรูปธรรมสำหรับเด็กเหล่านี้ เธอบอกให้ฉันหลีกเลี่ยงคำถามที่เป็นนามธรรม และมุ่งเน้นไปที่การถามคำถามที่เป็นรูปธรรม และเฉพาะเจาะจงเพื่อช่วยในการทำความเข้าใจ อาจใช้เวลาเพียง 1-2 นาทีในการสนทนา แต่มันก็เป็นข้อมูลที่เพียงพอสำหรับฉันที่จะรู้สึกมั่นใจในการเลี้ยงดูเด็กที่มีภาวะ hyperlexia เธอเป็นแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง! และฉลาดอย่างเหลือเชื่อ
หมายเหตุ
*hyperlexia (โรคไฮเปอร์เล็กเซีย) =ความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านคำพูด
**Dyslexia (โรคดิสเล็กเซีย)= ความบกพร่องในการอ่าน มีปัญหาในการอ่านเขียน สะกดคำติดขัด ผสมคำไม่ได้ จัดเป็นความผิดปรกติเฉพาะด้านการเรียนรู้(Learning Disorder) มีสาเหตุจากความผิดปรกติของการทำงานที่เซลล์สมองซีกซ้าย
โดย: ไดแอน ร็อบสัน
ที่มา :https://tgihomeschool.wordpress.com/2019/03/18/5-ข้อที่ต้องรู้เกี่ยวกับ/